

รู้ทันโรคเก๊าท์
เก๊าท์ คือ ชื่อของโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุจากการที่ร่างกายมีกรดยูริคสะสมอยู่มากตามข้อทำให้เกิดการอักเสบ กรดยูริคอาจตกตะกอนในไตหรือทางเดินปัสสาวะ ทำให้เป็นนิ่วหรือไตวายเรื้อรังได้ กรรมพันธุ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเก๊าท์ด้วย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์จะเป็นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรืออาจเกิดขึ้นในวัยใดก็ได้ ซึ่งเพศหญิงส่วนใหญ่จะปรากฏอาการของโรคหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร?
ในเพศชายระดับกรดยูริกในเลือดไม่ควรมากกว่า 7 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ในเพศหญิงวัยหมดรอบเดือนระดับกรดยูริกในเลือดไม่ควรมากกว่า 6 มิลลิกรัม / เดซิลิตร


โทฟี่ หรือ ปุ่มนูนใต้ผิวหนัง
โรคหรืออาการที่ตามมาจากโรคเก๊าท์ที่เห็นได้หลักๆหรือบ่อยๆก็คือโทฟีหรือที่เห็นเป็นลักษณะ ปุ่มนูนใต้ผิวหนัง ลักษณะเริ่มแรกจะมีลักษณะนิ่มๆ และจะค่อยๆแข็ง เป็นอาการที่เกิดจากการสะสมกรดยูริกสูงในเลือดแล้วเกาะตามข้อของเรานั่นเอง อาการนี้อาจจะเป็นได้ทั้งข้างเดียวหรือสองข้างเลยก็เป็นได้ ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องรีบดูแลอย่าปล่อยไว้นาน ซึ่งจะมีผลทำให้หายได้ช้าลง หรือ ต้องใช้เวลานานกว่าเดิมก็เป็นได้คะ ยิ่งดูแลไว ระยะเวลาในการฟื้นตัวก็ไวคะ

โรคข้อเสื่อม
สิ่งที่ต้องเจอแน่นอนสำหรับคนเป็น โรคเก๊าท์ การก่อตัวของกรดยูริกตามข้อต่างๆ ทำให้ข้อต่อบริเวณนั้นบิดเบี้ยวผิดไปจากเดิมเป็นที่นิ้วมือ จะกำมือไม่ได้เป็นที่เท้า จะทำให้เดินลำบากข้อเสื่อมเป็นวิวัฒนาการของ “โรคเก๊าท์” ที่คนเป็นเก๊าท์ ต้องเจอทุกคน

ไตวาย หรือ นิ่วในไต
โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกในร่างกายที่มีมากเกินไปทำให้กรดยูริกไปเกาะตามข้อต่างๆทำให้เกิดอาการปวดและบวม และ หากมากเกินไปทำให้ไตทำงานหนักและขับออกไม่ทัน จึงมีผลทำให้ไตทำงานหนักและมีความเสี่ยงเป็นโรคไตเสื่อมได้รวมถึง นิ่วในได้ด้วยเช่นกัน เพราะไตมีหน้าที่หลักในการขับของเสียออกจากร่างกาย ขาดระบบที่ขับของเสียออกจากร่างกายทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว โรคต่างๆก็จะตามมามากมายด้วยเช่นกัน




โรคเบาหวาน
โรคที่แทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์อีกโรคที่มักพบเจอได้บ่อยก็มีหลายโรคเช่นกัน รวมไปถึงโรคเบาหวานด้วย เนื่องจากไตที่ทำงานหนักในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายแล้ว น้ำตาลในเลือดก็มีการขับออกจากร่างกายโดยทางไตเช่นเดียวกัน เมื่อไตทำงานได้ไม่เต็มที่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือน้ำตาลสะสมในเลือดมากขึ้น จนกลายเป็นน้ำตาลในเลือดสูง หรือ ที่เรียกว่าเบาหวานได้ เช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่จะป้องกันการเกิดโรคต่างๆได้ดี ไตต้องทำงานได้ดีเช่นเตียวกัน






ระยะที่ 1 : เป็นช่วงที่ยังไม่มีอาการ แต่พบระดับกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ครับว่าต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่ ขึ้นอยู่ดุลพินิจของแพทย์
ระยะที่ 2 : ระยะข้ออักเสบ เมื่อยู่ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อ และข้ออักเสบรุนแรง โดยอาจจะเกิดขึ้นเอง หรือมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่น เกิดอุบัติเหตุโดยตรงที่ข้อต่อ ดื่มสุรา หรือ ทางอาหารที่มีสารพิวริน เช่น เครื่องในสัตว์ ยอดผัก เป็นต้น ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรงจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อนอย่างเห็นได้ชัด ร่วมกับมีการขยับข้อลำบาก โดยข้ออักเสบจะเป็นอยู่ 1-2 ข้อ ปวดอยู่ 5-7 วันอาการปวดจะหายไปได้เอง และกลับมาปวดใหม่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยในระยะแรกๆอาการปวดจะเป็นห่างกันมากๆ แต่ถ้ายังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผลึกเกลือยูเรตจะสะสมในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ข้ออักเสบจึงเป็นถี่ขึ้น ในบางรายอาจเป็นทุกๆเดือนเลยครับ
ระยะที่ 3 : ระยะสงบ ซึ่งเป็นระยะที่ไม่มีอาการปวด หรืออักเสบใดๆ ซึ่งอาจนานเป็นปีๆจนผู้ป่วยแทบจะลืมไปแล้วด้วยซํ้าว่าเคยมีอาการปวดข้อมาก่อน
ระยะที่ 4 : ระยะมีก้อนโทฟัส เป็นระยะท้ายของโรค มักพบในผู้ป่วยที่เป็นมานานมากกว่า 5 ปี และรักษาผิดวิธี จนเป็นเหตุให้ผลึกเกลือยูเรตที่สะสมตามเนื้อเยื่อต่างๆเพิ่มมากขึ้นจนเป็นก้อนปูดนูนออกมาบริเวณผิวหนังรอบๆ ไอปุ่มนูนๆนี่แหละครับที่เรียกว่า "ปุ่มโทฟัส" ซึ่งจะกัดกินเนื้อเยื่อของข้อจนกระดูกแหว่ง ข้อถูกทำลายและเกิดความพิการในที่สุด ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยไม่ได้มีเพียงแค่ปวดข้อ แต่จะมีความผิดปกติของระบบอื่นๆในร่างกายร่วมด้วย เช่น ไตวาย นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น



































